วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562

สงครามโลกครั้งที่ 2 
(World War II ค.ศ. 1939-1945)


สรุปง่ายๆ จาก ช่อง Point of View
ทดสอบก่อน สงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นความขัดแย้งของประชาชาติที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 รวมเวลา 6 ปี ซึ่งสงครามโลกครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางและมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า
สาเหตุของสงคราม
            1. ลัทธิจักรวรรดินิยม หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว มหาอำนาจก็ยังแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมหรือขยายดินแดนด้วยการรุกรานอยู่อีก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอักษะ เช่น ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียใน ค.ศ. 1931 อิตาลียึดครองอะบิสซิเนียใน ค.ศ. 1935 และผนวกฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ผนวกออสเตรียและซูเดเทนใน ค.ศ. 1938 และผนวกโชโกสโลวะเกียใน ค.ศ. 1939
            2. ลัทธิชาตินิยม ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซาย ทำให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler ค.ศ. 1934-1945) ผู้นำเยอรมนีหันไปใช้ลัทธินาซีเพื่อสร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini ค.ศ. 1922-1943) ผู้นำอิตาลีหันไปใช้ลัทธิฟาสซิสต์ ส่วนญี่ปุ่นต้องการสร้างวงไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพาเพื่อเป็นผู้นำในเอเชีย นอกจากนี้ยังเกิดทฤษฎีชาตินิยมในเยอรมนีว่าด้วยความเหนือกว่าในทางเผ่าพันธุ์ ที่ทำให้ฮิตเลอร์เข้ากวาดล้างชาวยิว
            3. ลัทธินิยมทางทหาร การแข่งขันกันสะสมกำลังและอาวุธเพื่อสร้างแสนยานุภาพทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทำให้มหาอำนาจไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ใน ค.ศ. 1933 เยอรมนีได้ยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งทำไว้ในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม แล้วเริ่มลงมือเกณฑ์ทหาร สร้างป้อมปราการสองฝั่งแม่น้ำไรน์ และปรับปรุงกองทัพทุกเหล่าจนมีกองทัพอากาศที่เกรียงไกร นอกจากนี้เยอรมนียังสามารถสร้างอาวุธที่ทันสมัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
            4. มหาอำนาจแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ อักษะ (Axis) ประกอบด้วยเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินนโยบายต่างประเทศไปในทำนองเดียวกัน คือ การรุกรานและขยายอำนาจกับฝ่ายพันธมิตร (Allies) ซึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสพยายามใช้นโยบายเอาใจอักษะประเทศ (Appeasement Policy) ซึ่งเป็นนโยบายที่อังกฤษและฝรั่งเศสผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของเยอรมนีในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามโดยยินยอมให้เยอรมนี ผนวกออสเตรียและแคว้นซูเดเทนของเชโกสโลวะเกีย แต่นโยบายดังกล่าวทำให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ถือโอกาสส่งกองทัพเข้ายึดครองเชโกสโลวะเกียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสต้องยกเลิกนโยบายผ่อนปรนแล้วหันมาดำเนินนโยบายประกันเอกราชให้แก่โปแลนด์เพื่อต่อต้านฮิตเลอร์จนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุดเมื่อเยอรมนีรุกรานโปแลนด์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939


 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์



เบนิโต มุสโสลินี



5. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ องค์การสันนิบาตชาติไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของมหาอำนาจบางประเทศได้ เช่น ญี่ปุ่นบุกเข้ายึดครองแมนจูเรีย เยอรมนีเข้ายึดครองแคว้นไรน์ อิตาลีรุกรานอะบิสซิเนีย และในเวลาต่อมาประเทศดังกล่าวได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกองค์การสันนิบาตชาติอีกด้วย นอกจากนี้สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่งและเป็นผู้ริเริ่มของหลักการขององค์การสันนิบาตชาติ แต่กลับไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์การนี้ จึงทำให้องค์การสันนิบาตชาติไม่มีความเข้มแข็งเท่าที่ควร

สถานการณ์ของสงคราม


ยุทธภูมิในยุโรประหว่าง ค.ศ. 1939-1945

1. วิกฤติการณ์ก่อนเกิดสงครามโลก หลังจากที่เยอรมนีได้ละเมินสนธิสัญญาแวร์ซาย ใน ค.ศ. 1935 และเริ่มรุกรานประเทศต่างๆ โดยไม่มีผู้ขัดขวาง รวมทั้งยังร่วมกับอิตาลีสนับสนุนฝ่ายชาตินิยมของนายพลฟรังโกในสงครามกลางเมืองของสเปน อังกฤษและฝรั่งเศสตระหนักว่าเยอรมนีและอิตาลีต้องการทำสงครามแน่แล้วจึงได้เรียกระดมพล
            2. กองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ทำให้เกิดสงครามโลก เยอรมนีเรียกร้องขอฉนวนดานซิกคืนจากโปแลนด์และบุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 อังกฤษเรียกร้องให้เยอรมนีถอนทหาร แต่เยอรมนีไม่ยอม อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเกิดขึ้น
            3. สงครามในทวีปยุโรป ในขณะที่กองทัพเยอรมันบุกเข้าไปในโปแลนด์จนถึงเมืองวอร์ซอ สหภาพโซเวียตบุกเข้าไปในโปแลนด์ด้านตะวันออก รัฐบาลโปแลนด์ต้องยอมแพ้เมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1939 และถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน สหภาพโซเวียตได้ดินแดนทางตะวันออกไป ส่วนเยอรมนีก็ทำสงครามยึดครองประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์ ต่อจากนั้นจึงบุกเข้ายึดเนเธอร์แลนด์ เบลเยียมและฝรั่งเศส และยึดปารีสได้ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1940 อิตาลีได้ส่งกองทัพโจมตีฝรั่งเศสทางด้านเทือกเขาแอลป์ หลังจากนั้นก็ได้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนีและอิตาลีตามลำดับ โดยดินแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกของฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนี
            4. สงครามระหว่างเยอรมนีกับอังกฤษ เยอรมนีส่งกองทัพอากาศเข้าโจมตีอังกฤษระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1940 ถึง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1941 อังกฤษต่อสู้อย่างเข้มแข็งและสามารถทำลายเครื่องบินของเยอรมนีได้ กองทัพเยอรมันยังไม่ทันบุกเกาะอังกฤษก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีสหภาพโซเวียต
            5. สงครามในคาบสมุทรบอลข่าน เยอรมนีต้องการจะตัดเส้นทางของอังกฤษด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงบุกลงมาในคาบสมุทรบอลข่าน ฮังการีและโรมาเนียเข้าเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 ต่อมากองทัพเยอรมันเข้าสมทบกองทัพอิตาลี และยึดครองประเทศกรีซได้ ทหารอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ต้องถอยออกจากประเทศกรีซและเกาะครีซตามลำดับ
            6. สงครามระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียต แม้ทั้งสองประเทศจะตกลงทำสัญญาการค้าและสัญญาไม่รุกรานกันใน ค.ศ. 1939 แต่เมื่อเกิดสงครามแล้วสหภาพโซเวียตส่งกองทัพเข้าไปในประเทศโปแลนด์ ยึดครองดินแดนและตั้งฐานทัพแถบทะเลบอลติก กองทัพเยอรมันจึงเข้ารุกรานสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ยึดโปแลนด์ส่วนที่สหภาพโซเวียตครอบครองไว้ได้ และยังตีได้แคว้นยูเครน เมืองเคียฟ และรัสเซียภาคใต้ รุกต่อไปยังเมืองเลนินกราดและกรุงมอสโก แต่กองทัพสหภาพโซเวียตสมารถต้านทานไว้ได้
            7. สงครามในทวีปแอฟริกา สงครามในทวีปแอฟริกา เป็นรบระหว่างอังกฤษกับอิตาลี เมื่ออิตาลีแพ้เยอรมนีจึงส่งกองทัพมาช่วย ส่วนอังกฤษได้กองทัพหนุนเช่นเดียวกัน และนับแต่ ค.ศ. 1943 กองทัพฝ่ายพันธมิตรประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสก็โจมตีจนกองเยอรมันต้องยอมแพ้ที่ตูนิเซีย ค.ศ. 1943
            8. พันธมิตรยกพลขึ้นบกอิตาลี เมื่อได้ชัยชนะที่ตูนิเซียแล้ว กองทัพฝ่ายพันธมิตรก็ยกพลขึ้นบกที่อิตาลียึดได้เกาะซิซิลี และรุกข้ามไปยังสมุทรอิตาลีและบังคับให้มุสโสลินีลาออก รัฐบาลใหม่ของอิตาลีได้ดำเนินการติดต่อขอสงบศึกกับฝ่ายพันธมิตร แต่เยอรมนีเข้าต้านทานกองทัพฝ่ายพันธมิตร และสนับสนุนให้มุสโสลินีจัดตั้งรัฐบาลขึ้นอีก แต่ในที่สุดมุสโสลินีก็ถูกชาวอิตาลีจับประหารชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1945 กองทัพฝ่ายพันธมิตรเข้ายึดครองเมืองมิลาน ตูริน และแคว้นตริเอสเต (Trieste) ดังนั้นสงครามในประเทศอิตาลีจึงได้สงบลง
            9. กองทัพพันธมิตรบุกยุโรปตะวันตก ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นวันดีเดย์ กองทัพฝ่ายพันธมิตรในบังคับบัญชาของนายพล ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (General Dwight D. Eisenhower ค.ศ. 1890-1969) ก็ได้ยกพลขึ้นที่หาดนอร์มองดีในฝรั่งเศสและสามารถรุกข้ามแม่น้ำไรน์เข้าสู้ดินแดนเยอรมนี ขณะนั้นกองทัพสหภาพโซเวียตก็บุกผ่านประเทศโปแลนด์เข้ามาบรรจบกับฝ่ายพันธมิตรในดินแดนเยอรมนีพร้อมกัน เยอรมนีจึงยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945


กองทัพฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอร์มองดี ประเทศฝรั่งเศส


            10. สงครามด้านเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อสงครามทางด้านยุโรปเกิดขึ้น ญี่ปุ่นก็เตรียมการจะทำสงครามในเอเชีย เพื่อขจัดอำนาจของชาติมหาอำนาจตะวันตก เมื่อฝรั่งเศสประกาศยอมแพ้เยอรมนีใน ค.ศ. 1940 ญี่ปุ่นก็ส่งทหารเข้ายึดอินโดจีนของฝรั่งเศสอันประกอบด้วยลาว กัมพูชา และเวียดนาม สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และจีนต่อต้านญี่ปุ่นโดยวิธีทางเศรษฐกิจ คือ งดจำหน่ายสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสงครามให้ญี่ปุ่น วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นยกพลโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล (Pearl Harbour) ในฮาวาย รวมทั้งเกาะฮ่องกงของอังกฤษ หมู่เกาะฟิลิปปินส์ของสหรัฐอเมริกา และเมืองโกตาบาฮารูในแหลมมลายู โดยมิได้ประกาศสงครามล่วงหน้า หลังจากนั้นก็เคลื่อนทัพบุกยึดประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยด้วยเพื่อใช้เป็นทางผ่านไปพม่า คาบสมุทรมลายู และสิงคโปร์ หลังจากญี่ปุ่นยึดสิงคโปร์ได้แล้วก็ใช้เป็นฐานทัพส่งกองเรือรบปละเรือดำน้ำไปทำสงครามกับอังกฤษในมหาสมุทรอินเดีย สามารถจมเรือรบอังกฤษในบริเวณมหาสมุทรอินเดียได้เป็นจำนวนมาก
            ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 สหรัฐอเมริกาเริ่มส่งกำลังรบมาทางด้านตะวันออกและสามารถทำสงครามเอาชนะญี่ปุ่นได้ เหตุการณืสำคัญคือกองกำลังทางอากาศของสหรัฐอเมริกาก็สามารถไปโจมตีญี่ปุ่นเอาชนะศึกที่อิโวะจิมะและโอกินะวะ ใน ค.ศ. 1945 ได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่นยอมจำนน แต่ญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐอเมริกาจึงทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมะในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เป็นผลให้เมืองพินาศและมีคนเสียชีวิตประมาณ 80,000 คน และในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกาก็ทิ้งระเบิดลูกที่ 2 ที่เมืองนะงะซะกิ ญี่ปุ่นจึงยอมจำนนในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และลงนามในสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 สงครามโลกด้านแปซิฟิกกฌได้สิ้นสุดลง ภายหลังสงครามสหรัฐอเมริกาได้ดำเนินการยึดครองและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นให้เป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


ฮิโรชิมะ ถูกทิ้งระเบิดปรมาณู


ผลของสงคราม
            1.ด้านการเมือง
            ประเทศผู้แพ้สงครามต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดน เสียอาณาคม และต้องยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ฝ่ายชนะวางเงื่อนไขไว้ให้ปฏิบัติ
            ชาติมหาอำนาจดั้งเดิมอ่อนแอลง ชาติอาณานิคมจึงพากันเรียกร้องเอกราช จนได้เอกราชในที่สุด และเมื่อชาติมหาอำนาจดั้งเดิมอ่อนแอลงทำให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นชาติมหาอำนาจแทน
            2. ด้านสังคม
            ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และมีผู้ประสบเคราะห์กรรมจากภัยสงคราม เช่น บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เป็นโรคจิต ขาดอาหาร หายสาบสูญ
            3. ด้านเศรษฐกิจ
            ทั้ง 2 ฝ่ายใช้เงินในการทำสงครามรวมกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อบ้านเมืองเสียหายอย่างหนัก ทำให้เกิดปัญหา เช่น การว่างงาน เศรษฐกิจตกต่ำ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบบทดสอบ เหตุการณ์ 14 ตุลา เหตุการณ์ 14 ตุลา เรียกว่า วันอะไร   ก.       กบฏบวรเดช ข.       วันมหาวิปโยค ค.       การรัฐประหาร ...